เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ พ.ย. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระนะ วันพระนี่เราต้องมีหลักใจ เวลาหิวข้าวกินข้าวก็หายนะ เวลาเราทุกข์ เราร้อน เราอาบน้ำ เราก็หาย เวลาเราหนาว เราห่มผ้า มันก็อุ่น เรื่องของร่างกายมันพอบรรเทากันไป แต่เวลาเรื่องของความทุกข์นี่มันทุกข์มาก เวลาทุกข์มากมันอยู่ในหัวใจ เราแบกรับไว้มันหนักมาก ทีนี้พอมันหนักมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัตินะ ไปเรียน ๖ ปีหนักขนาดไหน เรียนกับเขา นั่นน่ะ ไอ้ตรงนั้นมันเป็นอัตตกิลมถานุโยค คือหนัก หนักมาก แล้วหนักแบบว่าไม่เข้าใจ หนักแบบไม่มีหลักมีเกณฑ์

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่กิเลสมันอยู่ที่ใจ ถ้าแก้ที่ใจมันก็ต้องอาศัยระหว่างกายกับใจ เราถึงต้องมีการอดนอนผ่อนอาหาร ไม่ให้ร่างกายมันเข้มแข็งเกินไป ดูสิ เวลาคนร่างกายเข้มแข็งเกินไป เดี๋ยวนี้โรคอ้วน โรคอ้วนต้องพยายามลดน้ำหนัก ลดความอ้วนลงมา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าร่างกายมันมีน้ำหนักนะ มันมีพลังงานของมัน มันจะกดถ่วงหัวใจ คือมันคิด มันฟุ้งซ่านไปตามแต่พลังงานที่มันขับไสไป องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นตรงนั้น ถึงว่าอดนอนผ่อนอาหารเพื่อให้มันเบาลงมา จะเข้ามาตรงนี้ จะเข้ามาตรงทำสมถะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเขา ที่ว่า ๖ ปี อันนั้นน่ะเป็นฌาน ฌานโลกีย์ หมายถึงว่า เกจิอาจารย์ภาคกลางทั้งหมดที่ทำเครื่องรางของขลัง นี่ฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์คือความศักดิ์สิทธิ์ไง ความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้วิเศษ ผู้วิเศษ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ธรรม

ธรรมคือการชำระกิเลสในหัวใจ ถ้าชำระกิเลสในหัวใจ แล้วตรงนี้ เรานี่เป็นปุถุชน ตอนนี้เป็น ที่ว่าโลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญาตรงนี้ เราเน้นตรงนี้มาก ที่ว่าเขาว่าใช้ปัญญาเป็นวิปัสสนา ต้องใช้ปัญญาวิปัสสนา

มันเป็นวิปัสสนึก มันเป็นความเข้าใจของโลกียะ เป็นความเข้าใจของปรัชญา สิ่งที่เป็นปรัชญาอันนี้ ถ้าเราใช้ปรัชญา เราใช้ความคิดขนาดไหน มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันก็เป็นสมถะ

สมถะคือทำสมาธิ คือทำหัวใจให้สงบ คือสมถะ สมถะคือการทำใจให้นิ่ง ถ้าทำใจให้นิ่ง นิ่งแล้วมันก็มีมิจฉา มีสัมมาอีกนะ ถ้าเป็นมิจฉา พวกที่ว่าส่งออก พวกมิจฉา หรือว่าพวกที่กระทำคุณไสย ไม่ใช่ว่าทำใจให้นิ่งแล้วจะถูกหมดนะ ทำใจให้นิ่งแล้วมันยังเป็นมิจฉา เป็นสัมมา ถ้าเป็นสัมมา สัมมาคือความถูกต้อง ถ้าเป็นความถูกต้องมันต้องมีสติ การประพฤติปฏิบัติถึงต้องมีสติตลอดไป ดังนั้นมีสติตลอดไป กิเลสในหัวใจของเรามันขับไส

เวลามันขับไสมันต้องการความสะดวก มันต้องการตามจินตนาการของมัน พอต้องการตามจินตนาการของมัน มันก็ขุดบ่อ ขุดความคิด ขุดบ่อล่อไว้ให้หัวใจมันตก ให้มันนิ่งๆ อย่างนั้น นิ่งๆ อย่างนั้นนิ่งหัวตอ หลวงปู่เจี๊ยะบอก “แช่ไว้ มันไม่พอกิน ไม่พอกิน แช่ไว้นะ” ถ้าเราไปแช่ไว้อย่างนั้นมันไม่พอกินหรอก มันต้องมีสติ แล้วถ้ามีสติจะยกขึ้นวิปัสสนา

วิปัสสนาที่เขาพูดกันว่าในโลกนี้ ตอนนี้เขาบอกวิปัสสนา นักปฏิบัติที่วิปัสสนาๆ ดูนามรูป วิปัสสนา อันนั้นไม่ใช่ อันนั้นมันเป็นการดูอาการของใจเกิดดับ ถ้าดูอาการของใจเกิดดับมันก็ต้องเป็นโลกียะ เพราะว่าเราคิดจากเราใช่ไหม

เวลามีนักวิชาการมาหาเรา เขาบอกศาสนาตอนนี้เขาปฏิเสธเรื่องการทำความสงบ เพราะว่ามันไม่มีปัญญา เขาถึงต้องใช้ปัญญา ใช้ปัญญาของเขาๆ

เราถามเขาว่า ปัญญาอย่างเขานี่นะ ปัญญาที่เขาคิดกันอยู่นี่ ที่เป็นศาสตราจารย์ ที่เป็นนักวิชาการกันอยู่นี่ เวลาในเมืองไทยหรือว่าในโลก นี่เป็นศาสตราจารย์ เขาเป็นทางวิชาการของเขา เขามีเงินประจำตำแหน่งของเขานะ เขามีเงินประจำตำแหน่ง เขาต้องทำวิชาการของเขา เขาถึงเสนอโครงการของเขา เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่เวลาเขาทำขึ้นมาแล้ว ในเมืองไทยเราหรือในโลกนี้มีศาสตราจารย์ขนาดไหน ล้นเลย ล้นโลกมาก แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแต่ละองค์นี่ยากมาก แล้วปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาอย่างลึกซึ้ง

ตอนนี้ทางวิทยาศาสตร์เขาคิดนะว่าคลื่นสมองมันมีหยาบ มีอย่างกลาง มีอย่างละเอียด ละเอียดสุด คลื่นสมองนะ คลื่นสมองเขาเปรียบเสมือนความคิดไง เวลาเขาจะแก้ไขกิเลสของเขา ต้องคลื่นสมองที่ลึกเข้าไป คลื่นสมองมันจะเป็นความคิด นี่คลื่นสมองนะ แต่นี่คลื่นสมองมันแก้กิเลสได้ไหม เพราะสมอง คนเราสมองเสื่อม คนเราสมองพิการ แต่เขาก็ยังมีกิเลสของเขา เขาก็มีความต้องการของเขา นี่กิเลสมันอยู่ที่ใจ มันไม่ใช่คลื่นสมองอันนั้น คลื่นสมองนี้มันเป็นความคิด

เราบอก “คลื่นของใจ” เวลาอุทิศส่วนกุศล นี่คลื่นของใจ ความคิดมันมีคลื่นของใจ มันมีพลังงานของมัน แต่พลังงานนี้มันละเอียดเข้าไปอีก วิปัสสนามันจะเกิดตรงนี้ ต้องทำสมถะขึ้นมาก่อน สมถะคือทำใจให้นิ่งโดยสัมมานะ ไม่ใช่ให้นิ่งเป็นมิจฉา

นี่ครูอาจารย์สำคัญ สำคัญตรงนี้ ตรงที่คอยชี้นำลูกศิษย์ลูกหา คอยชี้นำนะ แล้วดูสิ ดูอย่างหลวงตาท่านติดสมาธิ ๕ ปี ไปพูดกับหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นบอกว่า “ให้ออกปัญญาสิๆ”

หลวงตาท่านบอก “นี่ออกปัญญาแล้ว นี่คือปัญญา สิ่งที่ว่านี่เป็นสัมมาสมาธิใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันเป็นอย่างไร”

หลวงปู่มั่นท่านว่านะ “สัมมาสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง”

สัมมาสมาธิผู้ที่ไปติด ผู้ที่ทำใจนิ่งๆ แล้วไปติดอยู่นั่น อันนั้นมันเป็นมิจฉาต่างหากล่ะ แต่เมื่อเราศึกษานี่ว่าเป็นสัมมาสมาธิ เราเข้าใจของเรา เราเข้าใจของเราแล้วเราคิดจินตนาการของเรา กิเลสมันขุดดักล่อไว้อย่างนั้น ถึงว่าความนิ่งนี้มันต้องมีสติ นิ่งมีสติแล้วยกจิตนี้ขึ้นวิปัสสนา

ผู้ที่ทำนามรูป เขาบอกจิตนี้เป็นนามธรรม จิตนี้จับต้องไม่ได้ จิตนี้ไม่มีรูป ถ้าจิตนี้มีรูป สติมันอยู่ที่ไหน แล้วจิตนี้ตั้งมั่นอย่างไร แล้วทำงานอย่างไร

เวลาเราหาทุนหารอนของเรา เราต้องมีทุนมีรอนของเรานะ ทุนรอนอันนี้มันถึงจะเป็นประโยชน์ได้ ถ้ามีทุนรอน เราทำธุรกิจได้ จิตเป็นสัมมาสมาธิมันถึงจะมีทุนรอน ถ้าจิตมันไม่มีสติควบคุม มันเป็นเงินของคนอื่น เห็นไหม เราไปดูเงินในธนาคารมีมหาศาลเลย แต่ไม่ใช่เงินของเรา เราจะใช้ประโยชน์จากเงินอันนั้นไม่ได้ อันนี้เป็นสมถะ สิ่งที่เป็นสมถะก่อน เพราะสมถะเป็น ๑ ในมรรค ๘ มันเป็นสัมมาสมาธิ ปัญญาชอบ งานชอบ เพียรชอบ มันเป็นกรณีหนึ่งๆ ถ้าเป็นปัญญาก็เป็นความดำริชอบ ถ้าเป็นงานชอบก็เป็นการวิปัสสนาชอบ

ถ้าวิปัสสนา เวลายกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนามันต้องยกขึ้นในความเห็นของจากภายใน ความเห็นจากภายในเพราะกิเลสมันอยู่ที่หัวใจใช่ไหม ถ้ากิเลสมันเห็นกาย ถ้าใจมันเห็นกายมันจะวิปัสสนากายได้ ถ้าใจมันไม่เห็นกาย กายมันมองไม่เห็นหรอก เพราะสิ่งที่เห็น ที่ว่าเขาเห็นกายกัน เขาเห็นแต่กายด้วยตาเนื้อ เห็นกายด้วยตาเนื้อ หมอผ่าตัดคนไข้มหาศาลเลย เวลาหมอชันสูตรพลิกศพ ผ่าศพ ผ่าต่างๆ เขาเห็นกายไหม เขาเห็นเป็นวิชาชีพของเขา เขาเห็นจากการส่งออกจากข้างนอกออกมา แต่เขาจะไม่เห็นจากภายในของเขาเลย ถ้าเขาเห็นจากภายในของเขาคือเห็นจากตาของใจ

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา คือความคิด ความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ความผูกพันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วมันดับเป็นธรรมดาโดยที่เราไม่เห็นมัน เวลาคนทุกข์คนยากมันเกิดดับโดยธรรมชาติของมัน แต่เวลาเราวิปัสสนาไป ใจมันจะเห็นอย่างนั้น วิปัสสนา เห็นไหม เวลาเราเกิดดับ

เราถึงบอกว่า เราพูดประจำนะว่าพวกเราไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นทุกข์เพราะอะไร เพราะไม่เห็นอาการเกิดดับของมัน เราเห็นแต่ผลจากทุกข์นั้นไง ที่บ่นกันว่าทุกข์ๆๆ อยู่นี่ เพราะกิเลสมันถ่ายมูลของมันแล้ว มันไปของมันแล้วเราถึงได้ทุกข์ แต่ขณะที่วิปัสสนามันเห็นว่ากิเลสมันเริ่มกินเหยื่อ คือว่าจิตมันเสวยอารมณ์อย่างไร ความรู้สึก ธรรมชาติพลังงานอันนี้มันเป็นจิตเฉยๆ จิตนี้ไม่ใช่ความคิดนะ ความคิดนี้เป็นอาการของใจ เวลาจิตนี้มันเสวยความคิดมันเสวยอย่างไร เวลาจิตมันกินเหยื่อ นี่ปัญญามันเห็นตลอด ถ้าปัญญามันเห็นตลอด นี่มันเห็นทุกข์ไง เห็นทุกข์ เห็นจิตกินเหยื่อ แล้วพอกินเหยื่อ มันแสบมันร้อนของมัน เพราะมันเป็นพิษ สิ่งที่เป็นพิษ มันรู้ว่าอาการที่กินเหยื่อ อาการของใจมันจะเกิดขึ้น นี่วิปัสสนามันเห็นตรงนั้น เห็นว่าเอ็งกินเหยื่อแล้วนะ เอ็งกินความคิดแล้ว แล้วความคิดมันให้ผลเป็นความทุกข์กับใจดวงนี้ เอ็งยังกินอยู่อีกหรือ วิปัสสนามันไล่ต้อนกันอย่างนี้

ถ้าวิปัสสนากาย เห็นสภาพของกาย ถ้าเห็นสภาพของกาย พลังงานมันพอ มันให้แปรสภาพไป สิ่งที่แปรสภาพไป นี่เหยื่อไง เพราะจิตนี้ไปเห็นกายๆ เห็นความยึดมั่นถือมั่นของเรา สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นของเรา แล้วพลังงานนี่ให้มันแปรสภาพไป สิ่งที่แปรสภาพไป เวลาพูดนี้เป็นวิชาการนะ แต่เป็นวิชาการทางจิต เป็นวิชาการจากครูบาอาจารย์ที่ประสบมาแล้ว แต่เราพูด เราคิด เราฟังง่ายๆ นะ แต่แค่ทำความสงบของใจนี่เป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปียังทำไม่ได้เลย แล้ว ๑๐ ปี ๒๐ ปี แล้วมันสงบแล้วยกขึ้นเป็นวิปัสสนาทำได้หรือไม่ได้ เราถึงอยู่ป่ากันไง ครูบาอาจารย์ถึงบอกว่าต้องให้ใช้ความเพียร ต้องให้ใช้ความวิปัสสนา ให้ใช้ความอุตสาหะมาก เพราะกิเลสมันอยู่ฟากตายนะ

เราทำ เรานึกภาพเอา เราสร้างภาพเอา มันเป็นวิปัสสนึก ถ้าเป็นวิปัสสนึกนี่กิเลสพาใช้ สิ่งนี้จะแก้กิเลสไม่ได้ เราต้องทำให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา คือให้มันเกิดขึ้นจากอำนาจวาสนาของจิตดวงนั้น ให้เกิดขึ้นจากตามความจริงของใจดวงนั้น มันถึงวิปัสสนา คนเห็นวิปัสสนาอย่างนี้จริง แล้วแยกแยะอย่างนี้ได้จริง มันจะพูดได้ด้วยถูกต้อง

เวลาครูบาอาจารย์เราเจอกัน เห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ผู้ใดออกจากป่ามา ผู้ใดประพฤติปฏิบัติขนาดไหน เวลาพูดออกมา เราพูดขนาดไหน แล้วพวกเราลูกศิษย์ เรามีครูบาอาจารย์ เราฟังเทปขนาดไหน เราอ่านหนังสือขนาดไหน เราจะพูดไม่ได้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น เปรียบเหมือนกับคนที่ขับรถไปประสบอุบัติเหตุ คนที่ประสบอุบัติเหตุจะพูดด้วยความขนพองสยองเกล้า แต่ไปเล่าให้ใครฟังแล้วคนไปพูดต่อ คนไปพูดต่อคือสัญญา

นี่ก็เหมือนกัน เราจำของครูบาอาจารย์เรามา แล้วเราสร้างภาพขึ้นมา เรายังไม่สามารถขับรถเข้าไปชนกับกิเลสไง ไม่เกิดพาหะ ไม่เกิดจากวิปัสสนาญาณของเราเข้าไปชนกับกิเลส เราจะไม่เห็นตามความเป็นจริงนั้น เราพูดขนาดไหนก็ฟังออก พูดขนาดไหนก็ฟังรู้ ฟังรู้ว่าอันนี้เป็นสัญญา อันนี้เป็นความจริง ความจริงมันจะเข้าไปเป็นประสบการณ์ของมัน แล้วมันจะผจญกับสภาวะแบบนั้น มันจะขนพองสยองเกล้าขนาดไหน มันจะปล่อยตามความเป็นจริง นั่นเป็นวิปัสสนา แล้ววิปัสสนาแล้ว ต้องวิปัสสนาแล้ววิปัสสนาเล่า ใคร่ครวญบ่อยๆ ครั้งจนกว่ามันจะหลุดนะ นี้คือวิปัสสนา

แล้ววิปัสสนาแล้วมันยังมีนะ มันยังมีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มันเป็นคนละชั้นคนละตอนเข้าไป มันใช้ปัญญาคนละขั้นตอนนะ ในตำราบอกว่า พระโสดาบัน มรรคของโสดาปัตติมรรค สมาธิ ปัญญา ๒๕ เปอร์เซ็นต์ สกิทาคามิมรรค ๕๐ เปอร์เซ็นต์ อนาคามิมรรค ๗๕ เปอร์เซ็นต์ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มัน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปตลอด แต่ความละเอียดอ่อนมันจะลึกลับมาก นี่วิปัสสนามันยังลึกลับอีกมหาศาลเลย ขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต

แต่ขั้นของสมถะมีขอบเขต ขอบเขตคือว่ามันเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ พูดก็รู้ เห็นไหม ขนาดมีขอบเขตของมันนะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเป็นอจินไตย ฌานนี้เป็นอจินไตย สมาธิเป็นอจินไตย เพราะว่าอะไร เพราะอำนาจวาสนาของใจไม่เหมือนกัน บางคนเข้าได้มาก ได้น้อยขนาดไหน มันพอไง มันพอกับงานอันนั้น เราไม่ต้องให้ลึกขนาดไหนก็ได้ พอขอให้มีกำลังขึ้นมาแล้วยกขึ้นวิปัสสนาไป เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นจริต มันเป็นนิสัย มันเป็นอจินไตยนะ เอามาเทียบเคียงกันไม่ได้ ถึงบอกว่าเป็นสมบัติใครสมบัติมัน

เหมือนกับกินอาหารนะ กินอาหาร เราชอบอาหารชนิดไหนคนนั้นก็อร่อย ถ้าของเราอร่อย ไปให้คนอื่นกินเขาไม่อร่อยเลย เพราะเขาไม่ชอบ ดูอย่างพวกฝรั่งเขากินอาหารกันสิ เราไปกินน่ะจืดชืด แล้วมีแต่กลิ่นเนย มันเป็นกลิ่นเหม็นหืน เราไม่พอใจเลย เราต้องกินผักน้ำพริกนะ แต่เขามาเจอเรากินผักน้ำพริก เขาบอกพวกนี้กระเพาะเหล็ก เพราะมันเผ็ดมาก มันกัดกระเพาะมาก แต่เราชาวเอเชีย ชาวตะวันออก ว่าอร่อยมาก แล้วทำให้ร่างกายแข็งแรงมาก เห็นไหม นี่คือจริต นี่คือนิสัย

จริตนิสัยอย่างไรก็แล้วแต่ มันจะเข้าไปตรงกับกิเลสนั้น แล้วชำระกิเลสนั้น นั่นเป็นวิปัสสนา วิปัสสนาเป็นขั้นเป็นตอนมาก ถึงสำคัญมาก การแก้กิเลส การแก้ทุกข์ ถ้ามีครูมีอาจารย์คอยชี้นำนะ เราถึงติดครูติดอาจารย์กัน ตำราบอกห้ามติดบุคคล ให้ติดธรรมะ แต่ธรรมะมันอยู่ในใจนั้น ธรรมะในใจของครูบาอาจารย์ ธรรมะที่สื่อได้ ธรรมะที่มีชีวิต ธรรมะที่พูดได้ ธรรมะในพระไตรปิฎก ธรรมะที่ตาย ธรรมะที่ตายคือมันไม่มีชีวิต แต่ถ้าเราอ่านกันมาขนาดไหน ถ้าเรามีโอกาส เพราะสิ่งที่มีชีวิตมันตาย ครูบาอาจารย์เราต้องตายไปทั้งหมด คนที่เกิดขึ้นมาต้องตายทั้งหมด เวลาตายไปแล้วเราก็เสียโอกาส ถ้าเราไปเจอสิ่งที่มีชีวิตแล้วเป็นธรรมในหัวใจ ถึงจะเป็นโอกาสของเรามาก

แต่ถ้าเราไม่มีอย่างนั้นเราก็ต้องค้นคว้าเอาแบบหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ไม่มีครูมีอาจารย์ ต้องค้นคว้าเอา ต้องพิสูจน์เอา แล้วกว่าจะได้มา เพราะมีอำนาจวาสนา ต้องค้นคว้าขนาดไหน ถึงจะได้อันนี้มานะ

ถึงบอกว่า เริ่มต้นตั้งแต่สมถะ วิปัสสนา แล้วฌานโลกีย์เป็นการส่งออก อย่างที่เขาติดกันอยู่ จะเป็นเกจิอาจารย์ เกจิอาจารย์ขนาดไหนก็แล้วแต่ถ้าใกล้จะเสียชีวิตจะพูดทุกคนเลยว่ามาผิดทางแล้ว เพราะใช้ฌาน ใช้จิตนี้เพ่ง เพ่งให้วัตถุนี้หมุนได้ วัตถุนี้เคลื่อนที่ได้เลย พระหรือตะกรุดนี่เพ่งให้เคลื่อนที่ได้ เพราะใช้พลังงานของจิต มันจะเคลื่อนที่ของมันไป เพราะพลังของจิต

ดูอย่างทางยุโรปเขานะ เขาใช้พลังของจิตไปงอเหล็ก พับเหล็ก ดัดเหล็ก ใช้อำนาจจิตเพ่งแล้วพับได้เลย ฝรั่งเขาก็ทำได้ แต่เรานี่ เราเป็นชาวพุทธ พุทธสอนถึงมรรคญาณ ถึงปัญญาจากภายใน ไม่ใช่ฌานโลกีย์อย่างนั้น แต่เราติดฌานโลกีย์กันแล้วเราก็ไปเพ่งของให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า สิ่งที่เป็นวัตถุให้มีฤทธิ์มีเดชขึ้นมา แล้วเราก็ติดกัน นี่เราติดสิ่งที่เป็นฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์เจริญแล้วเสื่อม

พระเทวทัตเหาะได้ พระเทวทัตแปลงเป็นงูก็ได้ แปลงกายก็ได้ เหาะเหินเดินฟ้าได้หมดเลย ทำไมคิดจะฆ่าพระพุทธเจ้าล่ะ คนมีฌานโลกีย์ขนาดนี้ทำไมคิดฆ่าคนล่ะ แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ทำไม่ได้ ทำไม่ได้หรอก เพราะความคิดนี้มันเป็นบาปอกุศล แม้แต่คิดยังคิดไม่ได้เลย การเกิดความคิดจากหัวใจจะเบียดเบียนคนอื่นนี่มันเบียดเบียนใจตัวเองแล้ว มันเห็นความเบียดเบียนอันนี้มันทำไม่ได้ ธรรมนี้คิดอย่างนั้นไม่ได้ แต่ฌานโลกีย์มันทำได้

ฌานโลกีย์นี้ต่ำมาก สุดท้ายขึ้นมาแล้วก็เป็นสมถะส่วนหนึ่ง แล้วถึงจะมาเป็น สมถะต้องเป็นสัมมาสมาธิส่วนหนึ่งแล้วจะเป็นวิปัสสนา วิปัสสนาก็เป็นโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค เป็นชั้นเป็นตอนไป ธรรมะนี้ละเอียดอ่อนมาก อยู่ในหัวใจนี้ สมบัติของใจถึงมหาศาล สมบัติของใจถึงพลิกแพลงได้ สมบัติของใจถึงค้นคว้าได้

เราอยู่ในโลกนี้ เราค้นคว้าในโลกนี้ เราก็พยายามเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์โลกนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้เลยว่าแกนของโลกอยู่ที่ไหน ความเป็นไปของโลก แร่ธาตุในโลกมหาศาล แต่ขณะที่ในหัวใจมันลึกลับกว่านั้นมหาศาลเลย แล้วปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมา นี่วิปัสสนามันมหัศจรรย์มหาศาล มหาศาลจริงๆ เรื่องศาสนานี่ยอดเยี่ยมมหาศาลมาก แต่เราจะเชื่อขนาดไหน เราจะค้นคว้าขนาดไหนอยู่ที่ความเชื่อของเรา เราค้นเข้ามาที่ใจนี้

วันนี้วันพระ ให้ตั้งใจแล้วทำอย่างนี้ ฌานโลกีย์แล้วก็สมถะ วิปัสสนา นี่พูดเป็นหลักการนะ แต่ถ้าพูดในการประพฤติปฏิบัติมันจะมีแง่มีมุม เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง กิ่งก้าน สาขา ใบมันนับไม่หวาดไม่ไหวหรอก นี่ถึงต้องมีครูอาจารย์คอยชี้นำ เพราะใบของต้นไม้ต้นหนึ่งเราจะนับขนาดไหน จริตนิสัยหรือความเห็นของจิตมันร้อยแปดร้อยสันพันคมในหัวใจเวลามันออกขึ้นมา เราจะต้องจัดการมันให้หมด ถึงที่สุดแล้วมันเกิดมาจากรากแก้ว ถึงที่สุดแล้วมันเกิดมาจากพลังงานของใจตัวเดียว ถ้าเราชักพลังงานของใจคือชักรากแก้วอันนี้ออก จบสิ้นกระบวนการการประพฤติปฏิบัติ นั้นคือนิพพาน เอวัง